ผลกระทบจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์(Microorganism) ใน Jet Fuels

การปนเปื้อนของจุลินทรีย์(Microorganism)ในเชื้อเพลิงเครื่องบินไม่ได้เพียงแค่เน้นในแง่เทคนิคเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่กว้างขึ้นอีกด้วย

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

1. ต้นทุนในการบำรุงรักษา
   • เกิดการซ่อมแซมบ่อย การปนเปื้อนของจุลินทรีย์สามารถทำให้เกิดการกัดกร่อนและการอุดตันในระบบเชื้อเพลิง ซึ่งจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนบ่อยครั้ง เช่น กรอง ปั๊ม และท่อเชื้อเพลิง
   • การใช้สารเคมีฆ่าเชื้อจุลินทรีย์: การใช้สารเคมีฆ่าเชื้อจุลินทรีย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อจัดการกับการปนเปื้อนเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
2. เวลาหยุดทำการ
   • การล่าช้าและยกเลิกเที่ยวบิน: การตรวจพบการปนเปื้อนอาจต้องมีการหยุดเครื่องบินเพื่อทำการตรวจสอบและรักษา ส่งผลให้เกิดความล่าช้าหรือยกเลิกเที่ยวบิน
   • การทำความสะอาดถังเก็บ: โรงเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่อาจต้องปิดชั่วคราวเพื่อทำความสะอาด ส่งผลกระทบต่อหลากหลายส่วน
3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
   • อุบัติเหตุและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด: แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่การปนเปื้อนรุนแรงอาจนำไปสู่ความล้มเหลวของเครื่องยนต์ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความรับผิดชอบตามกฎหมายกำหนด
4. การประเมินต้นทุน
   • ต้นทุนโดยตรง: การศึกษาประมาณการว่า การปนเปื้อนของจุลินทรีย์สามารถนำไปสู่ต้นทุนการบำรุงรักษาและการรักษาที่สูงถึงหลายล้านบาทต่อปีในอุตสาหกรรมการบิน
   • ต้นทุนทางอ้อม: เวลาหยุดทำการและเหตุการณ์ความปลอดภัยอาจมีผลกระทบทางการเงินตามมา รวมถึงความเสียหายต่อชื่อเสียงและเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น
5. การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของมาตรการป้องกัน
   • การลงทุนในกระบวนการทดสอบปกติ เทคโนโลยีการตรวจจับขั้นสูง และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน สามารถลดต้นทุนระยะยาวได้อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเป็นประจำมักเป็นเพียงเศษเสี้ยวของต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์การปนเปื้อน

การกำกับดูแล Microorganism

1. มาตรฐานอุตสาหกรรมการบิน
   • ASTM International: ASTM D6469 ให้คำแนะนำมาตรฐานเกี่ยวกับการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเชื้อเพลิงและระบบเชื้อเพลิง โดยกำหนดวิธีการทดสอบและการดูแลรักษา
   • Defence Standard 91-91: ใช้ในยุโรปเป็นหลัก กำหนดข้อกำหนดคุณภาพสำหรับเชื้อเพลิงกังหันเครื่องบิน รวมถึงแนวทางด้านการปนเปื้อนของจุลินทรีย์
2. หน่วยงานกำกับดูแล
   • Federal Aviation Administration (FAA): ดูแลข้อบังคับในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้มั่นใจว่าจะปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพเชื้อเพลิงเพื่อรับประกันความปลอดภัยของเครื่องบิน
   • European Union Aviation Safety Agency (EASA): กำหนดและบังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินในยุโรป รวมถึงมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพเชื้อเพลิง
3. การปฏิบัติตามข้อกำหนดและการบังคับใช้
   • มีการตรวจสอบและตรวจทานเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามมาตรฐานคุณภาพเชื้อเพลิง หากไม่ปฏิบัติตามอาจทำให้เกิดการลงโทษ ข้อจำกัดในการดำเนินงาน หรือทั้งสองอย่าง

เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจสอบ

1. วิธีการตรวจจับขั้นสูง:
   • Immunoassays: ใช้แอนติบอดีเพื่อตรวจจับจุลินทรีย์เฉพาะอย่างรวดเร็ว วิธีการนี้สามารถให้ผลลัพธ์ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
   • Biosensors: อุปกรณ์ที่รวมส่วนประกอบทางชีวภาพกับตัวตรวจจับทางกายภาพและเคมี เสนอการตรวจสอบการมีอยู่ของจุลินทรีย์แบบเรียลไทม์
2. การตรวจสอบโดยใช้หุ่นยนต์:
   • โดรน: ติดตั้งเซ็นเซอร์และกล้อง โดรนสามารถตรวจสอบถังเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ่และระบุพื้นที่ที่น่ากังวลโดยไม่ต้องใช้คนเข้าไปตรวจภายในเอง
   • หุ่นยนต์คลาน: ออกแบบมาเพื่อนำทางภายในถังเชื้อเพลิง หุ่นยนต์เหล่านี้สามารถเก็บตัวอย่าง ตรวจจับการกัดกร่อน และระบุการก่อตัวของไบโอฟิล์มได้
3. การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์:
   • การใช้ข้อมูลจากการตรวจสอบเป็นประจำและสภาพแวดล้อมแบบทำนายล่วงหน้าสามารถคาดการณ์ความเสี่ยงของการปนเปื้อนได้ ทำให้ไม่เสียเวลาเพราะสามารถดำเนินการล่วงหน้าได้

1. นอกเหนือจากนี้ทาง CH ยินดีที่จะนำเสนอ FuelStat Resinae Test Kit ที่ Conidia ที่สามารถหา microorganism ได้อย่างรวดเร็วที่สุด และใช้งานง่าย ไม่ต้องการการบำรุงรักษาเครื่องมือ และสามารถดูผลการทดสอบได้ผ่าน Application ในมือถือทุกระบบ

โดยการทำความเข้าใจถึงผลกระทบหลายด้านของการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเชื้อเพลิงเครื่องบิน ตั้งแต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจไปจนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรมการบินสามารถวางแผนและดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้แน่ใจในความสมบูรณ์ของเชื้อเพลิงและความปลอดภัยของเครื่องบินได้ดียิ่งขึ้น

ในวันที่ 9 มิถุนายน 2020 ที่ผ่านมานั้น หน่วยงาน A4A, IATA และ JIG ได้ร่วมกันจัด Webinar เรื่องการทดสอบ Micro-organism ในน้ำมันอากาศยาน มีผู้เข้าฟังทั่วโลกมากกว่า 1000 คน ในระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมง